MG6 เปิดตัวครั้งแรกกลางปี 2014 ในฐานะแบรนด์อังกฤษที่โดนจีนซื้อกิจการ นำไปใส่เทคโนโลยีของ SAIC หรือเซี่ยงไฮ้มอเตอร์ เมื่อผ่านไป 8 ปีแล้ว คุณภาพจะยังคงเดิม หรือมีอะไรเสื่อมลงไปบ้าง เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความทนทานตรงนี้เอง
ประวัติ MG6 ในไทย
MG6 (เอ็มจี6) เปิดตัวในไทยเมื่อปี 2014 มีทั้งตัวถังท้ายเก๋ง 4 ประตูซีดานและตัวถังท้ายลาด 5 ประตูฟาสแบ็ค โดยรุ่นฟาสแบ็คมีเครื่องยนต์เดียว แบบเบนซิน 1.8 ลิตร เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ มีกำลังสูงสุด 161 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 215 นิวตันเมตร ขายด้วยราคา 968,000 – 1,128,000 บาท
ส่วนรุ่นซีดานมีทางเลือกเพิ่มเติม เป็นเครื่องเบนซินแบบหายใจเองธรรมดา ความจุ 1.8 ลิตร มีกำลังสูงสุด 134 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 170 นิวตันเมตร ราคา 848,000 – 1,118,000 บาท ทั้งสองแบบ จับคู่เกียร์ดูอัลคลัตช์ 6 สปีด พร้อมรองรับน้ำมัน E20
ไมเนอร์เชนจ์ภายใน 1 ปี
MG6 โฉมไมเนอร์เชนจ์เปิดตัวปี 2015 อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนไฟหน้า กันชนหน้า ทิ้งไฟตัดหมอก เปลี่ยนเป็นเดย์ไลท์ LED เปลี่ยนลายล้อแม็กซ์เป็น 5 ก้านคู่ปัดเงา เปลี่ยนไฟท้าย และกันชนท้าย ภายในเปลี่ยนแผงคาดกลางคอนโซล เปลี่ยนหนังหุ้มภายในเป็นสีทูโทน
ส่วนเครื่องยนต์ตัดรุ่นหายใจเองออกไป เหลือแต่เบนซินเทอร์โบล้วน และอัพเกรดมาใช้ E85 ได้แล้ว ทำราคาถูกลง ในรุ่นซีดานราคา 818,000 – 1,028,000 บาท ส่วนรุ่นฟาสแบ็คราคา 828,000 – 1,038,000 บาท ทำยอดขายไม่หวือหวานัก ปีละไม่ถึง 1,000 คัน ก่อนจะค่อย ๆ หายไปจากตลาดในปี 2019
ข้อดี ข้อเสีย MG6
จุดเด่นของ MG6 คือรูปทรงสไตล์ฟาสแบ็คที่นำเทรนด์ก่อนใคร ทำให้รถเก๋งดูมีความลู่ลมแบบรถสปอร์ตมากขึ้น ในขณะที่ระดับเดียวกันในยุคนั้นยังเป็นทรงท้ายตัดแฮตช์แบ็คกันอยู่ ข้อดีอีกอย่างคือ ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ที่หนึบแน่น เพราะต้องรับน้ำหนัก 1 ตันครึ่งให้ไม่มีความย้วย เหมาะกับการเดินทางไกลอย่างมั่นคง
ข้อเสีย MG6 อยู่ที่ความหนักของพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฮดรอลิก ทำให้ขับในเมืองแล้วเหนื่อยออกแรงหมุน อีกทั้งทัศนวิสัยของรุ่นฟาสแบ็คค่อนข้างแคบ จึงขาดความคล่องตัวเมื่อขับในเมือง อีกข้อเสียหนึ่งที่ต้องทำใจคือ การกินน้ำมันโดยเฉลี่ยทำได้ 8-9 กม./ล. เนื่องจากน้ำหนักรถมีมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัญหาประจำรุ่น MG6
ปัญหาประจำรุ่นหลังจากหมดระยะประกันคุณภาพแล้ว พบว่ามีปัญหาน้ำรั่วซึมเข้าซีลยางต่าง ๆ เช่น ขอบประตู ซันรูฟ ไฟหน้า ฝาท้าย บางคันอาจจะเคลมไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็ต้องดูว่ามีการประกอบซีลยางรอบ ๆ เรียบร้อยหรือไม่
กระจกหน้าต่างตกรางก็เป็นปัญหาประจำตัว MG6 ในทุกโฉม เพียงเพราะพลาสติกยึดสลักจุดเดียว ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่เสื่อมง่าย และส่งผลให้กระจกร่วงลงทั้งบาน วิธีแก้ทำได้โดยการเปลี่ยนของใหม่ทั้งชุด ซื้อจากศูนย์หรือนอกศูนย์แบบ OEM ก็มีขายแล้ว แต่อะไหล่ล็อตแรก ๆ ยังไม่ทนทานเท่ากับรถญี่ปุ่น ต้องเป็นอะไหล่ล็อตหลังในปี 2020 ที่ปรับปรุงวัสดุแล้วหายขาด ทำให้ปัจจุบันจำนวนรถที่มีปัญหานี้ได้เบาบางลงไป
เรื่องวัสดุภายในของ MG6 เริ่มออกอาการเสื่อมสภาพให้เห็นแล้ว เช่น กรอบเสียบรีโมทลอกง่าย แผงมือจับและปุ่มกดที่ใช้บ่อยเริ่มลอกหรือซีด บางคันเจอปัญหาต่างออกไปตรงหนังบุภายในเสื่อม หรือบูชหัวเกียร์หลวม เหล่านี้ซ่อมไม่ยาก จบในราคาหลักพัน แต่มันค่อนข้างจุกจิกกวนใจไปหน่อย สำหรับรถอายุไม่ถึง 10 ปี
อ่านเพิ่มเติม : ย้อนอดีต MG ที่แรงสุดในประวัติศาสตร์บริษัท แต่มีเหตุผลที่มันเจ๊ง จนทำให้ต้องขายกิจการ
การบำรุงรักษา
หากรับรถมาแล้ว มีระยะทางใช้งานมา 1 แสนกม.ควรไล่เปลี่ยนเซนเซอร์เครื่องยนต์ ล้างหัวฉีด และเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่ง และเปลี่ยนท่อยางกับหมั่นดูแลความร้อนเป็นพิเศษ เพราะเครื่องบล็อค K-series เป็นอะลูมิเนียมทั้งก้อน ไม่ได้ทำมาเผื่อการใช้งานอย่างหฤโหด หรือลากใช้งานเกินกำหนด ส่วนใครที่ใช้ดูแลรักษาตามปกติ ก็จะพบว่าเครื่องและเกียร์รุ่นนี้ ยังทำงานรับใช้ได้ดี ไม่มีอาการเปราะบางให้เห็นแบบในรถ ฟอร์ด เฟียสต้า
คู่แข่งอื่นที่น่าสนใจ
MG6 มือสองปัจจุบันมีราคาเริ่มต้น 200,000 – 300,000 บาท แล้วแต่สภาพและรุ่นปี มีหลายจุดต้องดูแลซ่อมบำรุงแล้ว และมีบางจุดต้องทำใจ แลกมาด้วยรถปีใหม่ทรงไม่เชยมาก และให้สมรรถนะการขับขี่ดีกว่ารถหลายรุ่นในระดับเดียวกัน ซึ่งยังมีคู่แข่งเป็น Mazda 3, Chevrolet Cruze, Ford Focus ที่เข้าข่ายรถยี่ห้อแปลกที่ขับขี่มั่นใจไม่แพ้กัน
อ่านเพิ่มเติม : มือสองต้องรู้ MG5 ราคาขายต่อต่ำกว่า 300,000 บาทแล้ว มีข้อดี 3 อย่างเหนือกว่ารุ่นใหม่ด้วย
Source: มือสองต้องรู้ MG6 โฉมแรกอายุ 8 ปีแล้ว มีจุดไหนต้องซ่อมบ้าง ควรไปต่อหรือพอแค่นี้